ในการประเมินผลการลงทุนสร้างระบบ e-Learning เพื่อพัฒนาองค์กร มักเป็นปัญหาที่หลายๆคนปวดหัว เพราะการประเมินผลจากระบบการเรียนออนไลน์ของพนักงานไม่สามารถนำมาวัดผลเป็นตัวเลขยอดขายที่เติบโตขึ้นได้อย่างชัดเจน
ซึ่งแต่ละองค์กรต่างมีอัตลักษณ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้น เพื่อความสะดวกในการประเมินผลชี้วัดจึงขอแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนกว้างๆ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 : การสร้างแรงผลักดัน
ในช่วงเริ่มต้นของการดำเนินโครงการควรเน้นที่การติดตามการใช้ระบบของพนักงาน ให้พนักงานเข้ามาใช้งานระบบให้มากที่สุดเพื่อเก็บข้อมูล ต้องดูว่าพนักงานมีการใช้ e-Learning เป็นไปตามวัตถุประสงค์เบื้องต้นที่เรากำหนดหรือไม่ เช่น จำนวนพนักงานที่ Log in , เมื่อพนักงาน Log in แล้วได้เข้าไปเรียนรู้ในระบบหรือไม่ เป็นต้น
ตัวอย่างของข้อมูล ที่สามารถเก็บเพื่อมาวิเคราะห์ผลได้ เช่น จำนวนนักเรียนลงทะเบียน นักเรียนที่เข้าใช้งาน commentต่างๆ จำนวนบทเรียนที่อัพโหลด โดยแบ่งออกเป็นช่วงเวลาต่างๆตามตาราง
ขั้นตอนที่ 2 : การประเมินผลตอบรับจากผู้ใช้ระบบ
หลังจากผ่านช่วงเริ่มต้นไปแล้วถึงเวลาที่จะต้องทำการประเมินผลและวิเคราะห์เพื่อลงรายละเอียดมากขึ้น ซึ่งหากเรามีการใช้การเรียนออนไลน์กับการฝึกอบรมออฟไลน์ก็ควรมีการประเมินผลส่วนของออฟไลน์เพิ่มเติมด้วยในขั้นตอนนี้
ในการประเมินของขั้นตอนนี้เราจะใช้ ตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพหลัก (KPI) ซึ่งเป็นวิธีวัดเชิงตัวเลขในการติดตามความคืบหน้าของโครงการต่างๆ KPI ย่อมาจาก Key Performance Indicator เป็นดัชนีชี้วัดผลงานหรือความสำเร็จของงาน โดยเทียบผลการปฏิบัติงานกับเป้าหมายหรือมาตรฐานที่ตกลงกันไว้ นอกจากจะใช้ประเมินผลการทำงานของพนักงานได้แล้ว ยังสามารถใช้วัดและประเมินความก้าวหน้าขององค์กรได้อีกด้วย ดังนั้นจึงเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของระบบ e-Learning ได้ดี
สำหรับตัวชี้วัดผลการดำเนินงานที่ดีควรมีความเหมาะสม และเป็นที่น่าเชื่อถือ และสามารถวัดได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง KPI ควรจะแตกต่างกันไปในแต่ละตำแหน่งหรือแผนก เนื่องจากวัตถุประสงค์หรือรายละเอียดในแต่ละแผนกมีความแตกต่างกัน
KPI นั้นมีหลากหลายมากมายสามารถใช้ในการประเมินผลติสำหรับโปรแกรมการฝึกอบรม ตัวอย่างเช่น จำนวนพนักงานที่ทำงานเสร็จ จำนวนพนักงานที่ทำงานไม่เสร็จตามกำหนด เปรียบเทียบกำไรของบริษัทก่อนการฝึกอบรมและหลังการฝึกอบรม จำนวนผลผลิตก่อนและหลังการฝึกอบรม เป็นต้น โดยการเลือกนำ KPI มาใช้ประเมินจำเป็นต้องเลือก KPI ที่เหมาะสมและมีความเกี่ยวข้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของธุรกิจอย่างแท้จริง ไม่ฉะนั้นแล้วการวัดผลอาจจะไม่เกิดประโยชน์หรือสะท้อนความเป็นจริงได้
ตัวอย่างในการเลือก KPI ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของวัตถุประสงค์ เช่น
เป้าหมายทางธุรกิจของบริษัท : ในไตรมาสที่ 4 ฝ่ายขายจะต้องสามารถเพิ่มยอดขาย 15% จากไตรมาสที่ 3
ดังนั้นการตั้งเป้าหมายของการฝึกอบรมจะต้องสอดคล้องกัน เช่น ภายในไตรมาสที่ 4 พนักงานฝ่ายขายทุกคนจะต้องผ่านการฝึกอบรมเทคนิคการขายรูปแบบใหม่ เป็นต้น
นอกจากนี้เราสามารถที่จะตั้งวัตถุประสงค์ในการเรียนของแต่ละหลักสูตรเพิ่มเติมไปด้วยได้ เช่น เมื่อจบคอร์สเรียนการสร้างความประทับใจกับลูกค้า อาจจะตั้งเป้าหมายหลังการเรียนจบคือการเข้าไปเยี่ยมลูกค้าและสร้างความประทับใจโดยวัดเป็นจำนวนตัวเลขของลูกค้าที่เข้าพบและปรับใช้จากสิ่งที่ได้เรียนรู้มา ซึ่งแต่ละหลักสูตรสามารถมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการเรียนได้มากกว่าหนึ่งอย่างแต่ควรมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
แล้วต้องทำยังไง KPI ถึงจะได้ผลดี?
การจะทำ KPI ให้ได้ผล ตัวชี้วัดผลการทำงานต้องมีความเหมาะสม และโน้มน้าวให้ทุกคนเชื่อถือได้ โดยหลักที่มักจะเอามาใช้กันก็คือ SMART KPI ซึ่งความหมายที่อยู่ในแต่ละตัวของคำว่า SMART คือ
S - Specific: มีความเฉพาะเจาะจง
M - Measurable: วัดผลได้จริงแบบเป็นรูปธรรม
A - Attainable: สมเหตุสมผล สามารถทำได้จริง
R - Relevant: เป็นไปในทิศทางเดียวกับเป้าหมายที่ตั้งไว้
T - Timely: มีกรอบระยะเวลาชัดเจน
ขอยกตัวอย่างสำหรับเป้าหมายของหลักสูตรที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพของการเข้าเยี่ยมลูกค้า
เมื่อทีมขายสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวแล้ว ก็ควรจะช่วยสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้นได้ แต่ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นควรที่จะต้องวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผลถึงสาเหตุต่าง เพื่อพัฒนาหลักสูตรหรือแนวทางต่อไป ทั้งนี้สิ่งสำคัญของโครงการ e-Learning คือการพัฒนาอยู่เสมอ ไม่ว่าผลของการฝึกอบรมจะได้ผลที่ดีหรือไม่ก็ตาม
ผู้ดูแลระบบควรเก็บข้อมูลความคิดเห็นของผู้เรียนอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้คุณเพิ่มประสิทธิภาพโปรแกรมการฝึกอบรมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
เรียบเรียงโดย : froggenius.com
อ้างอิงจาก : https://blog.jobthai.com/ และ https://accelerole.com/>